| มุสลิมต้องอ่านเตาร็อดและอินญีล  มีอัลกุรอ่านอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องอ่านไบเบิ้ล 
เพราะในอัลกุรอ่านก็สอนถึงความเชื่อต่างๆ      
ที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยถึงนบีแต่ละคนในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์
อายะฮ์ที่ 136 ; 285 
  พวกเจ้าจงกล่าวเถิด
เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เรา
และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล  และอิสฮัก 
และยะอ์กุ๊บ  และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น และสิ่งที่มูซา  
และอีซาได้รับ   และสิ่งที่บรรดานบีได้รับ 
จากพระเจ้าของพวกเขา  
พวกเรามิได้แบ่งแยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากเขาเหล่านั้น      
และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น  ร่อซู้ลนั้น
(นบีมูฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา
จากพระเจ้าของเขาและมุอ์มินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย
ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์  และมลาอิกะฮ์ของพระองค์
และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์  และบรรดาร่อซู้ลของพระองค์ 
(พวกเขากล่าวว่า)  
เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซู้ลของพระองค์
และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว  ในซูเราะฮ์อันนิซาอ์
อายะฮ์ที่ 136    ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์
และร่อซู้ลของพระองค์เถิด
และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ร่อซู้ลของพระองค์     
และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนนั้น
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์
และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และวันปรโลกแล้วไซร้
แน่นอนเขาก็ได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
 ยังมีปรากฏอยู่ในอายะฮ์หลายอายะฮ์  
และทุกอายะฮ์ขอให้เราทุกคนจงมีความเชื่อ  
เพราะหลักการสำคัญของพระดำรัสของพระเจ้าก็คือให้ผู้คนทุกยุคทุกสมัยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพราะในไบเบิ้ลได้เก็บรวบรวมไว้ทั้งคัมภีร์เตาร็อต
ซ่าบูร อินญีล และเพื่อเป็นการยืนยันความเชื่อ
เราควรต้องศึกษาคัมภีร์เหล่านี้เพื่อจะได้รู้ว่าควรจะมีความเชื่ออย่างไร ในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ อายะฮ์ที่121
ได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า
  บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขา
โดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์นั้นอย่างจริงๆ
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ศรัทธาต่อคัมภีร์นั้น
และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์นั้นไซร้ แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน
 ในอิสลามยังมีเรื่องราวที่สำคัญอีกมากเกี่ยวกับคัมภีร์       
ถ้าพิจารณาดูจะทราบว่าเราจะเห็นหมายสำคัญต่างๆของอัลลอฮ์ที่ได้สำแดงให้มนุษยชาติ   
ดังนั้นในแต่ละอายะฮ์นั้นจึงมีความสำคัญ  
เพื่อที่เราจะได้อยู่ในหนทางของอัลลอฮ์ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละอายะฮ์ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า 
คำตักเตือนจะมีความเคร่งครัดมากเพราะถ้าใครก็ตามที่ได้หันไปจากทางของอัลลอฮ์
ดังที่มีกล่าวในซูเราะฮ์อันนิซาอ์อายะฮ์ที่ 56 
   แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเรานั้น
เราจะให้พวกเขาเข้าไปในไฟนรก คราใดที่ผิวหนังของพวกเขาสุก
เราก็เปลี่ยนผิวหนังให้แก่พวกเขาใหม่ซึ่งไม่ใช่ผิวหนังเดิมเพื่อพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษ
แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ และทรงปรีชาญาณยิ่ง
 ในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์
อายะฮ์ที่ 10   และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา
และปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก
 ความจริงก็คือไม่พบต้นฉบับเดิมหลงเหลืออยู่เลย
ถ้ามีก็ต้องพบ หรือบางทีได้หายไปแล้วก็ได้  
อย่างไรก็ตามอัลกุรอ่านสามารถบอกเราได้ว่าคำแปล 
และคำอธิบายของแต่ละอายะฮ์นั้นได้ถูกบันทึกลงบน  ใบปาล์ม  
เปลือกไม้   กระดูก หรืออื่นๆ
ซึ่งเหล่านี้ได้ถูกจารึกไว้โดยวิญญาณบริสุทธิ์ของท่านศาสดาเหล่านั้นทุกชิ้นถูกรวบรวมไว้มากมายเท่าที่จะเก็บไว้ได้    
สังเกตว่ารอยจารึกของอัลกุรอ่านที่ถูกบันทึกลงบนวัสดุเหล่านั้น 
และต่อมาได้มีการค้นคว้าและเปิดเผยตามมาในฮ่าดิษต่างๆ
ที่รวบรวมโดย    อัล บุคอรีย์ ซอเฮียะฮ์ บนหินสีขาวมีตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้เป็นรูปร่าง 
ปรากฏว่าไม่ใช่ทั้งสองกรณี  
ไม่มีใครหรือพิพิธภัณฑ์ใดนำสิ่งเหล่านี้มารวบรวมและพิสูจน์ได้ว่ามีปรากฏจริงในต้นฉบับเดิม
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ยังเห็นด้วยกับคำแปลต่างๆของกุรอ่าน
ในแต่ละยุคสมัยซึ่งยืนยันโดยท่านอีหม่ามอุสมาน . . .
หลังจากที่ท่านนบีมูฮัมมัดได้ถึงแก่กรรม
มุสลิมเองไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าคำบันทึกของท่านศาสดานั้น 
สอดคล้องกับฉบับปัจจุบันที่แปล
ซึ่งปัญหาก็เหมือนกับคริสเตียนที่ต้นฉบับเดิมสูญหาย      
และถ้ามุสลิมยอมรับถึงความเป็นไปได้ว่าอัลกุรอ่านปราศจากข้อพิสูจน์จากของเดิม
ไม่น่าจะเป็นการยากที่จะยอมรับไบเบิ้ลได้ 
เพราะอัลกุรอ่านยังได้ยืนยันถึงคัมภีร์เล่มก่อนๆ 
ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงมุสลิมไม่ควรที่จะกังวลต้นฉบับเดิม
รากฐานของมุสลิมก็คืออัลกุรอ่านมีเสรีภาพในการเชื่อถือกับความสมเหตุสมผลของไบเบิ้ล |